tag:blogger.com,1999:blog-77283208495517270512023-11-15T10:56:15.485-08:00เกษตร-แอ็ปซ่า : www.kaset-apsa.netเกษตร-แอ็ปซ่าPANYASRIhttp://www.blogger.com/profile/07994641030071717692noreply@blogger.comBlogger2125tag:blogger.com,1999:blog-7728320849551727051.post-45605129621876405122010-04-18T06:17:00.000-07:002010-04-18T06:43:49.702-07:00ลงพื้นที่พบกับชาวบ้านช่วงก่อนสงกรานต์ผมเดินทางไป 3 จังหวัดไปพบปะกับชาวบ้านที่อุบลราชธานี ศรีษะเกษ และ ร้อยเอ็ด ซึ่งได้ผลตอบรับมาอย่างดีเยี่ยม<br />ผมเน้นการสาธิตเกี่ยวกับสารเสริมประสิทธิภาพ มีการสาธิตวิธีการปรับสภาพดินรวมถึงคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน การสลายดินดาน ปรับสภาพน้ำ (ปรับ pH) การช่วยดูดซึมและจับใบร่วมกับปุ๋ยน้ำชีวภาพ/ปุ๋ยน้ำขี้หมูหมัก การผสมกับปุ๋ยเคมีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้ปุ๋ยเคมีลง 50% รวมถึงผมได้นำเสนอข้อมูลและวิธีการทำปุ๋ยน้ำขี้หมูหมักโดยใช้สูตรของ ม. เกษตรศาสตร์ กำแพงแสน โดยรวมแล้วเกษตรกรทุกคนที่ผมได้สาธิตและจำลองสถาณการณ์การทำการเกษตรขึ้นมาให้ดูกันชัด ๆ มีความสนใจและขอเข้ามาร่วมโครงการกับผม และเป็นที่น่ายินดีที่ส่วนใหญ่จะไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย เพราะมั่นใจกับปุ๋ยน้ำขี้หมูหมักบวกกับสารจับใบ เพราะต้นทุนต่ำมาก ๆ ตลอดจนเครื่องฉีดปุ๋ยราคาต่ำ ประมาณ 2,000 บาท ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่มีอยู่แล้วและใช้งานค่อนข้างง่ายพื้นที่ 10 ไร่สามารถฉีดให้เสร็จภายในเช้าเดียวเลย<br /><br /> ผลสรุปจากการลงพื้นที่ครั้งนี้ ถือว่าผมได้สร้างเครือข่ายเกษตรกรได้กลุ่มใหญ่ทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีษะเกษ มีผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่งถึงกับนัดผมให้กลับไปจัดประชุมกลุ่มเกษตรกรในละแวกนั้นเลยทีเดียว โดยท่านจะเป็นธุระในการประสานงานกลุ่มเกษตรต่่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรอินทรีย์ ซึ่งถ้าผมได้กลับไปอีกครั้งคงเป็นงานใหญ่เลยก็ว่าได้PANYASRIhttp://www.blogger.com/profile/07994641030071717692noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7728320849551727051.post-13919571917915178792010-03-23T20:58:00.000-07:002010-09-03T00:58:36.577-07:00จากนักคอมพิวเตอร์สู่นักวิชาการการเกษตรอิสระ - ทำการเกษตรแบบนักวิจัยร่วมกับชาวบ้าน<span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" ><br />ปัจจุบันเกษตรกรไทยประสพปัญหามากมายในการทำการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นฝนแล้ง น้ำท่วม ต้นทุนการผลิตสูง เช่นปุ๋ยเคมีราคาแพง ยาปราบศัตรูพืชราคาแพง น้ำมันแพง ปัญหาแมลงระบาดฆ่าไม่ตาย ผลผลิตต่อไร่ตกต่ำ ราคาผลผลิตตกต่ำ สารพันปัญหาที่ประดังเข้ามาทำให้เกษตรไทยอ่อนแอ ท้อแท้ อยากจะเลิกทำการเกษตร ซ้ำร้ายหนี้ ธกส. ยังพอกพูนขึ้นทุกปี ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ลูกหลานก็หนีเข้าไปหางานในกรุงเทพฯ เงินเดือนหยิบมือเดียวไม่สามารถหล่อเลี้ยงครอบครัวได้ ภาครัฐดูแลไม่ทั่วถึง หรือถึงขั้นไม่เคยมีเวลาออกมาเหลียวแลเลย<br /><br />ผมเป็นคนนึงที่เป็นลูกชาวนา เป็นเด็กเลี้ยงวัวตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ โตมาจากกลางท้องทุ่งที่อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นพื้นที่ติดกับทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งเผชิญกับปัญหาด้านการเกษตรมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ก็พยายามจะส่งให้เรียนสูง ๆ เพื่อที่จะหนีจากวงจรการเกษตรที่ฝากชีวิตไว้กับดินฟ้าอากาศ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน สารเคมีราคาแพงจนทำให้ทำนาไม่คุ้มทุน จนแล้วจนรอดพ่อแม่ตัดสินใจจำนำที่นาและขายวัวทั้งหมด (ขายวัวส่งควายเรียน) ประจวบกับเป็นปีแรกที่มีทุนกู้ยืมทางการศึกษาด้วย ส่งผมเรียนจนจบปริญญาตรี สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในที่สุด โชคดีที่ได้งานตอนปี 2543 ทั้ง ๆ ที่วิกฤตเศรษฐกิจสมัยนั้นหนักหนาสาหัสแบบสุด ๆ<br /><br />ในระยะต่อมาผมได้ใช้หนี้ที่จำนองที่นาสำเร็จและก็มีเงินเก็บนิดหน่อยซื้อที่นาเพิ่มเติม ผมเองได้ขอให้พ่อแม่เลิกทำนาเพราะว่าทำแล้วไม่คุ้มทุน แถมมีอายุมากแล้วร่างกายก็อ่อนแอ แต่ยังไงก็ตามด้วยความรักในอาชีพเกษตรกรเหมือนที่ผมรักในอาชีพนักคอมพิวเตอร์ที่ทำให้ผมพอมีอยู่มีกินมาเป็น 10 ปี แต่ยังไงก็ตามพ่อแม่ก็ยังทำนาต่อไปโดยไม่ฟังคำขอร้องของผมทั้ง ๆ ที่ผมเองก็ส่งเงินให้เขาใช้จ่ายทุกเดือนจนเขาไม่มีความจำเป็นต้องทำไร่ทำนาก็ตาม<br /><br />วันนึงผมเริ่มคิดได้ ไหน ๆ พ่อแม่ก็ไม่เลิกทำนาอยู่แล้ว ในฐานะที่เรามีสายเลือดเกษตรกรเต็มตัว จึงได้ลงมือศึกษาด้านการเกษตรอย่างเต็มที่ ด้วยความที่ตัวเองเป็นนักคอมพิวเตอร์มืออาชีพจึงได้ใช้ search engine ของ google.com เนี่ยแหละเป็นเครื่องมือหลัก ผมศึกษาข้อมูลการทำการเกษตรจากผู้รู้ ผู้มีประสพการณ์ อ่านหนังสือ บทความของทั้งนักวิชาการไทยและต่างประเทศ รวบรวมสมัครพรรคพวกที่มีเลือดเกษตรกรเต็มตัวคุยกันทาง msn และ ลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลจากเกษตรกรโดยตรงโดยแบกเครื่องโน๊ตบุ๊คตัวเก่าตัวเก่งกับโปรแกรม excel ไปนั่งคำนวนต้นทุนกับชาวบ้านโดยเปรียบเทียบกันหลาย ๆ คนจนได้ข้อมูลและความรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของปัญหาต่าง ๆ มากพอ และมาทำการบ้านอย่างหนักเพื่อหาวิธีจัดการกับปัญหาต่าง ๆ จากนั้นเริ่มค้นคว้าและทดลองร่วมกับชาวบ้านจนค้นพบว่าปัญหาหลาย ๆ อย่างก็มีทางออกที่ดี และน่าจะเป็นทางรอดของชาวเกษตรได้<br /><br />ปัญหาหลัก ๆ พอจำแนกออกได้ประมาณนี้<br />1. ปุ๋ยเคมี/อินทรีย์ราคาแพง<br />2. สารเคมีกำจัดศัตรูพืชราคาแพงและอันตรายต่อสุขภาพ<br />3. นาแล้ง<br />4. น้ำท่วม<br />5. วัชพืช<br />6. แมลงระบาด (โดยเฉพาะเพลี้ยต่าง ๆ )<br />7. ดินเสียอันเนื่องมาจากการใช้สารเคมีต่อเนื่องมาหลายปี<br />8. ค่าไถ/พรวนดินราคาแพง<br />9. ค่าเกี่ยวข้าวราคาแพง<br />10. ผลผลิตต่อไร่ตกต่ำ<br />11. ราคาผลผลิตตกต่ำ<br /><br />จากที่วิเคราะห์แล้วปัญหาทั้ง 11 ข้อล้วนแล้วแต่ยากต่อการจัดการซึ่งเป็นปัญหาหนักอกของเกษตรกรอย่างแท้จริง ซึ่งผมก็พอมีวิธีที่จะจัดการหรือทุเลาให้ปัญหาลดน้อยถอยลงได้ไม่น้อยเหมือนกัน ลองวิเคราะห์วิธีแก้ปัญหาของผมแต่ละข้อดูซิครับว่าที่ผมเริ่มทำการทดลองในแต่ละพื้นที่ว่าจะพอปรับไปใช้กับพื้นที่ของท่านได้มากน้อยแค่ไหน<br /><br />ปัญหา<br />1. ปุ๋ยเคมี/อินทรีย์ ราคาแพง<br />ผมได้ศึกษาตรงนี้พบว่ามีข้อมูลจากนักวิจัยไทยจากมาหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์กำแพงแสน ได้คิดค้นสูตรปุ๋ยน้ำขี้หมูหมักมาทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี (ราคา 800-1300บาท / กระสอบ) หรือปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ด (ราคา 300-400บาท / กระสอบ) ที่ขายกันทั่วไป ซึ่งได้ผลอย่างน่าตื่นเต้นมาก เพราะผลผลิตข้าวต่อไร่สูงกว่าการใช้ปุ๋ยเคมีเฉลี่ยถึง 166.6 กิโลกรัมต่อไร่ โดยผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 1-1.3 ตันต่อไร่<br /><br />ที่มา:http://nsw-rice.com/index.php/riceknowladge/fertirize/257-pig-ferti <a href="http://nsw-rice.com/index.php/riceknowladge/fertirize/257-pig-ferti%C3%A2%C2%80%C2%8F"><ปุ๋ยน้ำสกัดจากขี้หมู></a><br /><br /></span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" >รศ.อุทัย คันโธ และ อ.สุกัญญา จัตตุพรพงษ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยสถาบันสุวรรณวาจกกสิกิจ วิทยาเขตกำแพงแสน นครปฐม</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" > </span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" >ได้ศึกษา ทดลองสกัดปุ๋ยจากมูลสุกร พบว่ามีธาตุอาหารพืช ทั้ง 13 ธาตุ เหมาะกับการปลูกพืช (ได้แก่ N, P, K, Ca, Mg, S, Fe, Mn, Cu, Zn, B, Mo และ Cl) มีฮอร์โมนพืชช่วยเร่งการเจริญเติบ โตของพืช และน้ำสกัดมูลสุกรจะไปคลุมจุลินทรีย์ที่เป็นเชื่อโรคกับต้นพืชด้วย ทำให้ต้นข้าวแข็งแรง ไม่มีโรค แมลงรบกวน ไม่ต้องฉีดพ่นยาฆ่าแมลงใดๆ เมล็ดข้าวมีคุณภาพดีมาก เมล็ดเต็ม น้ำหนักดี สีข้าวแล้วได้ข้าวสารมาก ปลายข้าวน้อย โรงสีพอใจมาก และได้ราคาเต็มไม่มีการตัดราคาเลย </span> <span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" > ใน ระหว่างทดลอง ฝนทิ้งช่วงและอากาศแห้งแล้งกว่า 2 เดือน แต่ผลผลิตได้มากกว่าเดิม ซึ่งการปลูกข้าวแบบเดิมๆ ต้นข้าวแห้งตายหมดแล้ว</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" > </span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" >รศ.อุทัย แจงรายละเอียดว่า "นาข้าวที่ใช้ปุ๋ยน้ำสกัดเพิ่มผลผลิตมากกว่าแปลงใช้ปุ๋ยเคมี 166.6 กก.ต่อไร่ คิดเป็นผลผลิตเพิ่ม 69% ลดต้นทุนการผลิตได้ 1,360 บาทต่อข้าว 1 ตัน (ลดลง 37.06%) และการปลูกข้าวโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์มูลสุกรจะให้ผลผลิตสูงกว่าใช้ปุ๋ยเคมี โดยได้ผลผลิตเฉลี่ยถึง 1-1.3 ตันต่อไร่ เมล็ดมีน้ำหนักดีกว่าเดิม ขณะที่ต้นทุนการปลูกข้าวจะลดลงถึงไร่ละ 2,000-3,000 บาท</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" > </span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" >สูตร วิธีทำน้ำสกัดมูลสุกร เพื่อใช้เป็นปุ๋ย</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" ><br /></span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" > </span> <span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" > 1. นำมูลสุกรแห้งบรรจุถุงไนล่อน แล้วแช่น้ำ ในถังหรือโอ่งดิน อัตราส่วนมูลสุกรแห้ง 1 กิโลกรัม ต่อน้ำ 10 ลิตร</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" > </span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" ><br />2. ปิดฝาให้สนิทหมักไว้ 24 ชั่วโมง</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" > </span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" ><br />3. ยกถุงมูลสุกร ออกจากถัง นำน้ำสกัดส่วนที่เหลือประมาณ 8 ลิตรมาเจือจางกับน้ำ</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" ><br /></span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" > - กากมูลที่เหลือนำไปทำปุ๋ยทางดิน</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" > </span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" ><br />- กรณีพืชอายุสั้นหรือประเภทใบบาง เช่น ข้าว พืชผัก กล้วยไม้ ใช้อัตราส่วน 1 ต่อ 20 ใช้ฉีดพ่น</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" > </span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" > </span> <span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" > </span> <span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" >การใช้น้ำ สกัดมูลสุกรฉีดพ่นทางใบ ช่วยทำให้พืชได้รับธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และจุลธาตุอาหารเร็วขึ้น ทำให้ข้าวมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ใบเขียว ใบตั้ง ส่งผลให้พืชมีการสังเคราะห์ด้วยแสงอย่างเต็มที่ อีกทั้งแมลงศัตรูพืชขาดแหล่งอาศัย นอกจากนี้ข้าวมีความแข็งแรง ต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช เก็บเกี่ยวได้เร็วขึ้น เมล็ดข้าวเต่ง และผลผลิตได้มากขึ้น</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" > </span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" >การฉีดพ่นทางใบทำได้ดังนี้</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" > </span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" ><br />- เมื่อข้าวมีอายุ 15 และ 30 วัน นำน้ำสกัดมูลสุกร 1 ลิตร ผสมน้ำให้ครบ 20 ลิตร พร้อมกับสารจับใบ 3-5 ซีซี ฉีดพ่นทางใบอัตรา 40 ลิตรต่อไร่</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" > </span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" ><br />- เมื่อข้าวมีอายุ 45, 60 และ 75 วัน นำน้ำสกัดมูลสุกร 1 ลิตร ผสมน้ำให้ครบ 10 ลิตร พร้อมกับสารจับใบ 3-5 ซีซี ฉีดพ่นทางใบ อัตรา 40 ลิตรต่อไร่</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" > </span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" ><br />- หากพบว่าข้าวบางบริเวณไม่สม่ำเสมอ ให้ใช้น้ำสกัดมูลสุกร 1 ลิตร ผสมน้ำให้ครบ 10 ลิตร พร้อมกับสารจับใบ 3-5 ซีซี ฉีดพ่นทางใบบริเวณที่ต้นข้าวเติบโตช้า จะช่วยให้ต้นข้าวโตสม่ำเสมอกันได้</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" > </span><span style="font-style: italic;font-family:courier new;font-size:100%;" > </span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" ><br /><br />จากผลการวิจัยและใช้งานจริงในหลาย ๆ จังหวัดโดยทางมหาวิทยาลัยได้ร่วมมือกับ ธกส. เพื่อประยุกต์ใช้กับลูกค้าของ ธกส. เองแล้วได้ผลเป็นอย่างดีเยี่ยม เรามาวิเคราะห์ในหลาย ๆ จุดที่เป็นประเด็นที่ส่งผลให้เกิดผลผลผลิตที่สูงขนาดนี้<br /><br />- การสกัดมูลสุกร มีทั้งธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองรวมทั้งฮอโมนพืชครบถ้วน และเป็นการให้ปุ๋ยโดยตรงทางใบซึ่งจะได้ผลดีเป็นพิเศษแถมยังต้านทานต่อแมลง ศัตรูพืชด้วย<br />การฉีดทางใบจะฉีดทุก ๆ 15 วัน ส่วนข้าวอายุ 15 และ 30 วันแรกจะใช้สูตรที่มีความเข้มข้นน้อยซึ่งจะทำให้ข้าวอยู่ได้เนื่องจากต้นที่ยังอ่อน ๆ เจอปุ๋ยขี้หมูเข้มข้นมาก ๆ อาจจะทำให้เค็มเกินไปและพืชตายในที่สุด ส่วนข้าว 45 วันขึ้นไปจะแข็งแรงและใช้สูตรที่มีความเข้มข้นได้<br /><br />- สารจับใบ ซึ่งผมถือว่าตัวนี้เป็นพระเอกตัวนึงเลยทีเดียว มันทำให้ผมประหลาดใจ เมื่อผมได้ลงมือทดลอง เอาง่าย ๆ คือถ้าฉีดน้ำเปล่า ๆ ลงไปที่ใบพืชจะไม่ค่อยเปียกเท่าที่ควร น้ำจะไหลและหยดลงพื้นเกือบหมด แต่ถ้าผสมสารจับไบแค่ 2 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร กลับกลายเป็นว่าใบพืชเปียกไปหมดทั้งใบ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมสารจับใบจึงช่วยลดการใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีกำจัดศัตรูพืชลง ได้ถึง 50% นอกจากนั้นสารจับใบบางยี่ห้อสามารถใช้หมักกับปุ๋ยเคมี/อินทรีย์ โดยผสมน้ำแล้วหมักทิ้งไว้ 1 คืนก่อนนำไปหว่านจะทำให้ปุ๋ยมีการดูดซึมดีขึ้น ลดการตกค้างในดินซึ่งเป็นสาเหตุให้ดินเสีย ซึ่งวิธีนี้ทำให้ปุ๋ยมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 100% ส่งผลให้ประหยัดต้นทุนปุ๋ยถึง 50% เลยทีเดียว<br />อย่างไรก็ตามช่วงที่ข้าวกำลังออกรวงแนะนำให้หยุดใช้ปุ๋ยหมักน้ำขี้หมูเนื่องจากอาจจะทำให้มีข้าวเมล็ดลีบได้ ปุ๋ยขี้หมูถือว่ามีในโตรเจนสูงมาก หากต้องการเริ่งให้รวงข้าวดีมีน้ำหนักขึ้นอีกแนะนำให้ใช้ปุ๋ยน้ำที่มีธาตุอาหารรองที่ครบถ้วน ซึ่งตัวนี้จะช่วยได้เยอะทีเดียว<br />ในส่วนของปุ๋ยหมักจากจุลินทรีย์หรือ EM ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่น่าจะดีไม่แพ้กันแต่เท่าที่ผมได้ลองสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างดู เค้าไม่ค่อยจะใช้กัน เพราะบอกว่าวิธีการหมักยุ่งยาก อาจจะเป็นความขี้เกียจของชาวบ้านหรือเปล่าก็ไม่รู้ทำให้เกษตรกรไม่ค่อยใช้น้ำหมักจุลินทรีย์กันเท่าที่ควรจะเป็น ทั้ง ๆ ที่หลักฐานทางวิชาการก็บอกอยู่ชัดเจนว่า "ของเค้าดีจริง" (รวมทั้งแม่ผมด้วย อุตส่าห์หมักไว้ในถึง 200 ลิตร แต่ไม่ยอมเอาไปฉีดข้าวเลย)<br /><br />2. สารเคมีกำจัดศัตรูพืชราคาแพงและอันตรายต่อสุขภาพ<br />จากการศึกษาของผมแล้ว ยาฆ่าแมลงเนี่ยแทบจะไม่จำเป็นเลยหากเรามีวิธีป้องกันที่ดีไว้ก่อน แต่ถ้าแมลงระบาดมาที่เราแล้วจะแก้ไขลำบากมาก ๆ โดยเพาะเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ซึ่งทางออกคือ “กันดีกว่าแก้” โดยจะมีสารอินทรีย์ 3 ตัวที่นำมาประกอบกันฉีดพ่นทางใบถึงจะได้ผลดียิ่งขึ้น<br />- น้ำส้มควันคือสารสกัดที่ได้จากการเผาถ่าน ตัวนี้ถือว่าเป็นพระเอกเลยก็ว่าได้ สารตัวนี้จะมีความเป็นกรดสูงมาก ๆ มีค่า PH 2.5-3 เลยทีเดียว ตัวนี้แมลงไม่ชอบเอาซะเลย ซึ่งโดยปกติน้ำที่ได้จากการเผาถ่านจะต้องทิ้งไว้ประมาณ 90 วัน จากนั้นนำมาแยกเอาเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำส้มควัน ซึ่งจริง ๆ แล้วเราสามารถซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาดและราคาก็ไม่สูงนักอยู่ที่ประมาณลิตรละ 50 - 100 บาท<br />- สารสกัดจากสะเดาซึ่งหลายคนคงรู้ดีว่ามันเจ๋งแค่ไหน<br />- สารสกัดจากบรเพชรตัวนี้ก็ไม่แพ้สารสะเดาเช่นเดียวกัน<br />จริง ๆ แล้วทีแรกผมคิดว่าสารพวกนี้หาซื้อยากและราคาแพงแต่จากที่ได้หาข้อมูลมาจริง ๆ แล้วมีหลาย ๆ บริษัทผลิตออกมาขายเป็นจำนวนมาก แถมยังราคาไม่แพงและปลอดภัยอีกด้วยเมื่อเทียบกับสารเคมี ถ้าเอามาผสมกับสารจับใบในปริมาณที่พอเหมาะยิ่งประหยัดและได้ผลดีขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเลย<br /><br />3. นาแล้ง<br />อันนี้ปัญหาระดับประเทศหรือระดับโลกก็ว่าได้ครับ จริง ๆ แล้วนักวิชาการได้วิเคราะห์เป็นอย่างดีแล้วว่า ทุกพื้นที่ในประเทศไทย มีปริมาณน้ำฝนที่เหลือเฟือในการเกษตร แต่เนื่องจากเราไม่มีการกักเก็บน้ำที่ดีทำให้ไม่มีน้ำที่เพียงพอต่อการทำการ เกษตร แนวคิดของในหลวงของเราที่ปราชญ์หลาย ๆ ท่านนำมาใช้คือ การมีบ่อหรือแหล่งน้ำจำนวน 1 ใน 10 ของพื้นที่การเกษตร จะทำให้มีน้ำเพียงพอตลอดปี แต่ปัญหาคือดินบางพื้นที่ไม่สามารถเก็บน้ำไว้ได้ วิธีการหนึ่งคือการสร้างเมือกธรรมชาติ โดยเอาปุ๋ยคอกไปแขวนไว้ในบ่อ เวลาผ่านไป 2-3 เดือนจะทำให้เกิดเมือกธรรมชาติจากพวกพืชหรือสัตว์น้ำขนาดเล็ก ซึ่งสามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ในที่สุด อันนี้เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านนี่เองครับ บางคนอาจจะขุดเจาะน้ำบาดาลซึ่งก็เป็นวิธีการที่ดี แต่ปัญหาที่เจอในหลาย ๆ พื้นที่คือน้ำกระด้างซึ่งมีความเป็นด่างสูง จำเป็นต้องปรับสภาพน้ำโดยใช้สารประสภาพน้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องปรับค่า PH ให้เป็นกลางให้ได้คือควรจะมีค่าประมาณ 7 ซึ่งต้นทุนหลักๆ ก็จะอยู่ที่ค่าไฟฟ้า/น้ำมันในการสูบน้ำและราคาของสารแต่ละยี่ห้อ<br />จุดหนึ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นจากการใช้ปุ๋ยน้ำขี้หมูหมักคือ การให้ปุ๋ยน้ำขี้หมูหมักฉีดพ่นทางใบ จะทำให้พืชดูดซึมอาหารได้ทั้ง ๆ ที่ดินแห้งแล้ง แม้กระทั่งอากาศแห้งแล้ง 2-3 เดือนติดต่อกันแต่ข้าวก็ยังใบเขียวและไม่ตาย ถ้าเป็นปุ๋ยเคมีแล้วเนี่ยข้าวจะกินปุ๋ยไม่ได้เลย ทำให้แห้งตายในที่สุด และการที่ฉีดปุ๋ยทางใบ 15 วันต่อครั้งก็เสมือนกับมีฝนตกเป็นระยะ ๆ เดือนละ 2 ครั้งทำให้ข้าวสามารถสู้ความแห้งแล้งได้ ดังนั้นทางออกหนึ่งคือเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยขี้หมูกันเถอะครับ จากที่ผมคำนวณคร่าว ๆ แล้ว ขี้หมูแห้ง 1 กระสอบก็เพียงพอต่อการให้ปุ๋ยกับพื้นที่การทำนา 5 ไร่ โดยให้ปุ๋ย 5-6 ครั้งจนก่อนที่ข้าวจะออกรวง (ข้าวไม่ไวแสง)ซึ่งประหยัดสุด ๆ เพราะขี้หมู 1 กระสอบราคาไม่กี่สิบบาท (การให้ปุ๋ยสูตรเข้มข้นใช้หัวเชื้อ 20 ลิตรผสมได้ปุ๋ยน้ำ 200 ลิตร ฉีดข้าวได้ 5 ไร่/ครั้ง โดยประมาณ)<br /></span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" > </span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" > อีกประเด็นหนึ่งที่เวลานาแล้งแล้วข้าวใบเหลือหรือแดงเร็วคือการที่ดินเสีย/ดินแข็ง ซึ่งทำให้รากข้าวไม่สามารถ</span>หาอาหารเองได้ ดังนี้การปรับสภาพดินจะช่วยแก้ปัญหานาแล้งได้ด้วย ซึ่งมีรายละเอียดให้หัวข้อที่ 7.<br /><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" ><br /><br />4. น้ำท่วม<br />อันนี้แก้ยากครับ แต่ยังไงก็ตาม โดยปกติน้ำไม่ได้ท่วมตลอดทั้งปี ซึ่งแต่ละพื้นที่ควรเก็บสถิติว่าช่วงเดือนไหนมักจะเกิดน้ำท่วมแล้วอย่าทำการเกษตรช่วงนั้น ซึ่งอาจจะกินระยะเวลา 1-2 เดือน ถ้าปลูกข้าวแนะนำให้ปลูกข้าวอายุสั้น เป็นข้าวไม่ไวแสงหรือข้าวนาปรัง ซึ่งสามารถผลิตข้าวได้ทุกฤดูจะได้หนีหรือเก็บเกี่ยวก่อนช่วงเวลาน้ำจะท่วมได้<br /><br />5. วัชพืช<br />วัชพืชอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช แต่อย่างไรก็ตามเราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้งานโดยใช้สารจับใบผสม ก่อนฉีด โดยที่สารจับใบบางตัวสามารถปรับค่า PH ของน้ำได้ด้วย ทำให้สารเคมีมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 100% เลยที เดียว และลดต้นทุึนลง 50% แต่อย่างไรก็ตาม ผมกำลังทดลองสูตรการจัดการวัชพืชโดยใช้สารอินทรีย์ที่ได้ข้อมูลมาจากปราชญ์ด้านการเกษตรท่านหนึ่งอยู่ ถ้าได้ผลประการใดจะนำมาเสนอให้ทุกท่านได้ทราบในโอกาสต่อไป<br /><br />6. แมลงระบาด (โดยเฉพาะเพลี้ยต่าง ๆ )</span> <span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" ><br />อันนี้ปัญหาใหญ่มากครับ โดยเฉพาะปี 2552-2553 ซึ่งวิธีแก้นี้ยากยิ่งนัก ส่วนวิธีป้องกันให้กลับไปดูข้อ 2 ในเรื่อง สารเคมีกำจัดศัตรูพืชราคาแพง และอันตรายต่อสุขภาพ <a href="http://www.manytv.com/channels_template.php?view=Erv5B/ydhhLLhi/IS4bQ4qCIdBH/lIms"><น้ำส้มควัน><br /></a><br />7. ดินเสียอันเนื่องมาจากการใช้สารเคมี/ปุ๋ยเคมีต่อเนื่องมาหลายปี ทำให้ใช้ปุ๋ยแล้วไม่ได้ผลไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์ก็ตาม<br />ในข้อนี้มีทางแก้ครับ<br />- การใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือใช้จุลินทรีย์เป็นเวลาหลาย ๆ ปีต่อเนื่องในการปรับปรุงดิน จะทำให้ดินดีขึ้นตามลำดับ (ลุงทุนค่อนข้างสูง)<br />- การใช้สารปรับสภาพดิน สารพวกนี้จะปรับค่า PH ของดิน รวมถึงทำให้ดินร่วนซุย ดินจะสามารถตรึงในโตรเจนในอากาศได้ปริมาณมาก จริง ๆ แล้วธาตุอาหารในดีนตามธรรมชาติในบ้านเราค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ แต่เนื่องจากการใช้ปุ๋ยเคมีหรือสารเคมีมาต่อเนื่องหลายปีทำให้ธาตุอาหารที่จำเป็นเหล่านี้ไม่อยู่ในรูปที่พืชจะสามารถดูดซึมได้ ดังนั้นการใช้สารปรับสภาพดินจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง วิธีการใช้สารปรับสภาพดินคือนำมาผสมกับน้ำตามอัตราส่วน (ตามคู่มือของแต่ละยี่ห้อ) แล้วนำไปฉีดพ่นหรือรดลงดิน ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นอีกเราสามารถใช้น้ำส้มควันหรือน้ำหมักชีวะภาพผสมเข้าไปเพื่อปรับสภาพดินได้อีกแรง<br /><br />8. ค่าไถนาราคาแพง<br />ค่าไถนาเนี่ย คือต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เกษตรกรควรจะไถให้น้อยครั้งที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หรือพื้นที่ที่มีน้ำทั่วถึง อาจจะทำการไถแค่ครั้งเดียวก็พอ ถ้าค่าไถนาไร่ล่ะ 200 - 300 บาท/ไร่/ครั้ง หมายถึงว่าราคามันพอ ๆ กับข้าว 1 กระสอบเลยทีเดียว ยิ่งหลายครั้งยิ่งต้นทุนต่อไร่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว *การใช้รถไถนาช่วยให้สะดวกสบาย แต่เป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิต<br /><br />9. ค่าเกี่ยวข้าวราคาแพง<br />ปัญหานี้คงต้องปล่อยไปตามระเบียบ ครับ เกษตรกรบางคนที่ผมได้พูดคุยเค้าแทบอยากจะถอยรถเกี่ยวข้าวเองด้วยซ้ำ ถ้าใครเกี่ยวก่อนจะได้เปรียบ แถวบ้านผมตกอยู่ประมาณ 600 บาท/ไร่ แต่ถ้าใครเกี่ยวช้าค่าเกี่ยวข้าวจะตกไป 800 บาท/ไร่ด้วยซ้ำ หรือไม่ก็เกี่ยวเองซะเลย (จะแรงถึงเปล่าเนี่ย) *การใช้รถเกี่ยวข้าวช่วยให้สะดวกสบายแต่เป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิต<br /><br />10. ผลผลิตต่อไร่ตกต่ำ<br />ในส่วนนี้มีหลายสาเหตุรวมกันครับ ลองกลับไปอ่านข้อก่อนหน้านี้ดูย่าง เช่นนาแล้ง น้ำท่วม ดินเสีย แมลง วัชพืช จากที่ผมได้ศึกษาอย่างจริงจัง มีประเดินหนึ่งซึ่งเกษตรกรไทยส่วนน้อยที่มีการประยุกต์ใช้กันคือ “สารส่งเสริมประสิทธิภาพ” โดยที่หลาย ๆ คนคิดว่าเป็นสิ่งที่สิ้นเปลือง บางคนบอกว่าใช้แล้วไม่เห็นจะได้ผล ไม่ได้ลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีต่าง ๆ แต่กลับเพิ่มต้นทุนในการซื้อสารส่งเสริมประสิทธิภาพและความยุ่งยากในการใช้งาน สารส่งเสริมประสิทธิภาพมีจุดอ่อนย่างหนึ่งคือถ้าใช้ผิดวิธีหรือ ปริมาณไม่เหมาะสม แทนที่จะเป็นประโยชน์แต่อาจจะทำให้พืชผลเกิดความเสียหายได้ มีบางราย (ญาติผมเอง) อยากให้พริกงามก็เลยใช้ปริมาณมากเกินไป ทำให้พริกใบหล่นหมด ในส่วนนี้ผมได้ศึกษาทดลองและเปรียบเทียบหลาย ๆ ยี่ห้อซึ่งมีสูตรในการใช้งานแตกต่างกันไป ปกติคู่มือการใช้งานจะเปรียบเทียบว่ากี่ ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ซึ่งเกษตรกรควรศึกษาจากคู่มือการใช้งานอย่างถูกต้องและควรเลือกยี่ห้อที่มีประสิทธิภาพหรือความเข้มข้นสูงที่สุด ราคาเฉลี่ยต่อไร่ต่ำที่สุด มีความสามารถหลายอย่างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เช่น ปรับสภาพดิน ปรับสภาพน้ำ ช่วยจับใบ เสริมประสิทธิภาพปุ๋ยเร่งในการดูดซึม เสริมประสิทธิภาพสารปราบศัตรูพืช ซึ่งความสามารถเหล่านี้จะทำให้ลดต้นทุนได้ถึง 50% เลยทีเดียว แถมยังเพิ่มผลผลิตได้ถึง 100% อย่างน่าแปลกใจ ผมว่ามันเป็นทางรอดของเกษตรกรจริง ๆ<br /><br />11. ราคาผลิตผลตกต่ำ<br />ส่วนนี้คือปัจจัยภายนอกที่แทบจะควบคุมไม่ได้เลย ภาครัฐคงต้องทำงานอย่างจริงจังซึ่งเกี่ยวพันกับการส่งออกไปยังต่่างประเทศ รวมถึงปัญหาโรงสีหรือพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเรายากที่จะควบคุมในส่วนนี้ อย่างไรก็ตามการที่จะทุเลาปัญหานี้ได้คือเราต้องปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตให้ต้นทุนต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้วเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้มากที่สุด นี่แหละจะเป็นทางออกที่เป็นไปได้มากที่สุด<br /><br />ผมขอสรุปส่งท้ายว่า เกษตรกรควรหันมาทำการเกษตรแบบพอเพียงโดยใช้เกษตรอินทรีย์เข้ามาช่วยให้ได้มากที่สุด ในอนาคตผลผลิตของพืชปลอดสารเคมีจะมีราคาสูงขึ้นเพราะว่าคนหันมาสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น เกษตรกรควรมีการบันทึกค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนแต่ละรายการทั้งหมดเพื่อเป็นประโยชน์ในการคำนวณกำไร/ขาดทุน และจะเป็นข้อมูลในการศึกษาวิจัยต่อไป<br /><br />หากต้องการคำปรึกษา มีข้อชี้แนะ แลกเปลี่ยนความรู้หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ต้องการให้สาธิตการปรับสภาพดิน ปรับสภาพน้ำ วัดค่าความเป็นกด/ด่าง ของดินหรือน้ำ รวมถึงวิธีการลดสารเคมี หรือปุ๋ย และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพไปในตัว (รวบรวมกลุ่มเกษตรกรให้ได้ 3-5 คน) ผมยินดีรับฟังและพร้อมที่จะพัฒนาด้านการเกษตรในเมืองไทยไปพร้อมกับทุก ๆ ท่านเพื่อพี่น้องเกษตรกรได้ลืมตาอ้าปาก มีความมันคงและมั่งคั่งครับ ติดต่อมาได้ที่ </span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" >email: <span style="color: rgb(0, 153, 0);">panyasri@hotmail.com</span></span> หรือฝากเบอร์โทรมาทาง email ให้ติดต่อกลับก็ได้ครับ<br /><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" ><br />ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย<br /><br /><br /></span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" >--</span><br /><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" >ปัญญา ศรีฉายา<br /><br /></span><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-family:courier new;font-size:85%;" >*ที่ปรึกษาและนักวิชาการการเกษตรอิสระ</span><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-family:arial;font-size:85%;" ><br /></span><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-family:courier new;font-size:85%;" >*ผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์สารเสริมประสิทธิภาพ APSA-80 และ Nutriplant AG</span><span style=";font-family:arial;font-size:85%;" ><br /></span><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-family:courier new;font-size:85%;" >*ผู้เชียวชาญระบบคอมพิวเตอร์เครือข่าย, RedHat Certified Engineer</span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" ><br /></span><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-family:courier new;font-size:85%;" >*ThaiAdmin Staff - Panya S. - <a href="http://www.thaiadmin.org/">www.thaiadmin.org</a></span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" ><br /></span><br /><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" >Email/MSN: <span style="color: rgb(0, 153, 0);">panyasri@hotmail.com</span></span><br /><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" ><br />เอกสารอ้างอิง(สำหรับท่านที่ต้องการต่อยอดทางความรู้):<br /><br /></span><span style="font-family:arial;">การเสริมประสิทธิภาพการออกฤทธิ์(5) - ชุมชนนักส่งเสริมการเกษตร - สะแกกรัง</span><br /><a style="font-family: arial;" href="http://gotoknow.org/blog/stou2499000863/312366">http://gotoknow.org/blog/stou2499000863/312366</a><br /><br /><span style="font-family:arial;">ทำปุ๋ยน้ำจากขึ้หมู + สารจับใบ - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยสถาบันสุวรรณวาจกกสิกิจ วิทยาเขตกำแพงแสน นครปฐม</span><br /><a style="font-family: arial;" href="http://nsw-rice.com/index.php/riceknowladge/fertirize/257-pig-ferti">http://nsw-rice.com/index.php/riceknowladge/fertirize/257-pig-ferti</a><br /><a href="http://suwan.kps.ku.ac.th/News/FileUpload/publish12-52_1.pdf">http://suwan.kps.ku.ac.th/News/FileUpload/publish12-52_1.pdf</a><br /><a href="http://talk.mthai.com/topic/45033">http://talk.mthai.com/topic/45033</a><br /><a href="http://www.rdi.ku.ac.th/kasetresearch53/group06/uthai/rice.html">http://www.rdi.ku.ac.th/kasetresearch53/group06/uthai/rice.html</a><br /><span style="font-family:arial;">สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล - รหัสวิชา 03-932-403</span><br /><a style="font-family: arial;" href="http://courseware.rmutl.ac.th/courses/105/unit000.html">http://courseware.rmutl.ac.th/courses/105/unit000.html</a><br /><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" ><br />น้ำส้มควัน - ศูนย์การพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ<br /><a href="http://www.fisheries.go.th/cf-kung_krabaen/agricul1.htm">http://www.fisheries.go.th/cf-kung_krabaen/agricul1.htm</a><br /><br /></span><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" >VDO น้ำส้มควัน</span><span style="font-family:arial;"> - ManyTV</span><br /><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" ><a href="http://www.manytv.com/channels_template.php?view=Erv5B/ydhhLLhi/IS4bQ4qCIdBH/lIms">http://www.manytv.com/channels_template.php?view=Erv5B/ydhhLLhi/IS4bQ4qCIdBH/lIms<br /></a><br />ธาตุ อาหารพืช เพื่อพืชและมนุษย์ - รองศาสตราจารย์ ดร ยงยุทธ โอสถสภา อาจารย์พิเศษ ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน<br /><a href="http://www.dryongyuth.com/">http://www.dryongyuth.com</a><br /><br />ความอุดมสมบูรณ์ของดิน - </span><span style="font-family:arial;">มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล - รหัสวิชา 09-501-410</span><br /><span style=";font-family:courier new;font-size:100%;" ><a href="http://courseware.rmutl.ac.th/courses/53/unit000.htm">http://courseware.rmutl.ac.th/courses/53/unit000.htm</a><br /><span style="color: rgb(0, 153, 0);"></span></span>PANYASRIhttp://www.blogger.com/profile/07994641030071717692noreply@blogger.com3